ช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่ มหาวิทยาลัยหลายแห่งมีงานรับปริญญา People ประจำสัปดาห์นี้ถือเป็นช่างภาพที่บัณฑิตหลาย ๆ คน ต้องการจองตัวเธอ เธอ Hot และมีคิวงานยาวเหยียด กับสาวน้อยที่มีทรงผมและสไตล์การถ่ายภาพที่เป็นเอกลักษณ์ Manee Mejai
ช่วยแนะนำตัวกับเพื่อน ๆ ชาว Lookbook หน่อยค่ะ
สวัสดีค่ะ ชื่อ สุพัตรา หมั่นแสวง ชื่อเล่นชื่ออุ๊นะคะ เป็นคนเชียงใหม่ 100% จบจากโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย และปริญาตรี จากคณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกศิลปะจินตทัศน์ จบได้ประมาณ หนึ่งปีกว่า ๆ ปัจจุบันประกอบอาชีพช่างภาพอิสระ งานหลักเป็นงานภาพถ่าย งานรองเป็นงานวีดีโอค่ะ ตอนนี้อายุ 25 ปีแล้วค่ะ
อุ๊เริ่มจับกล้องตั้งแต่เมื่อไหร่ค่ะ เราอยากรู้ว่าเพราะอะไรถึงหลงเสน่ห์ในการถ่ายภาพมากขนาดนี้
ถ้าจับกล้องเลย เป็นกล้อง Compact ตัวเล็ก ๆ คุณพ่อซื้อให้ เพื่อเก็บภาพความทรงจำตอนเราเรียน ประมาณ ม.ต้น คือตอนนั้นก็ชอบถ่ายรูปนะคะ เอาไปโรงเรียนทุกวันเลย จนมีกล้อง DSLR เราก็เอามามหาวิทยาลัยด้วย และทุกคนก็จะรู้ว่าเราชอบถ่ายรูป แต่เราก็เป็นคนที่มีความสนใจหลายอย่างมาก ๆ เช่น การทำกราฟิค การทำเว็บไซด์ การเขียนบท การทำภาพเคลื่อนไหว แต่ท้ายที่สุดแล้ว เรามาเรียนศิลปะ การถ่ายภาพ สามารถสื่อสาร ความคิด ความรู้สึกของเรา ได้ดีกว่าศิลปะแขนงอื่น ๆ อีกอย่างเราก็ชอบ ความรู้สึกที่กลับมาดูภาพถ่าย มากกว่า ตอนถ่ายรูปซะอีก นั่นแหละที่เราเรียกว่า “เสน่ห์”
ทำไมถึงต้องเป็น มานีมีใจ
เป็นคำถามฮอตยอดฮิตตต ประจำปีม๊ากก จริง ๆ ถ้าเป็นเรา เราก็สงสัย 55 คือ ตอน ม.ปลาย เราแค่ไม่ชอบเขียนชื่อตัวเอง ในสมุด ในชีท ในหนังสือ เป็นชื่อตัวเองแบบสั้น ๆ AU , อุ๊ จนวันนึงเราได้เห็นโปสการ์ดใบหนึ่ง เขียนว่า มานี มานี มีใจ แล้วก็เป็นรูป มานีที่เป็นภาพประกอบหนังสือเรียนภาษาไทย ตอนนั้นเราชอบคำนี้มาก เราว่ามันดูจริงใจดี เลยเอามาตั้งเป็นชื่อ หรือลายเซ็นจนถึงตอนนี้ค่ะ
การถ่ายภาพของอุ๊เป็นสไตล์แบบไหน แล้วมีแรงบันดาลใจมาจากไหนค่ะ
เราไม่สามารถบอกได้เลยว่า ภาพถ่ายเราเป็นสไตล์ไหน แต่เราสามารถบอกได้ว่า เราชอบถ่ายอะไร เราบอกได้ ว่าเราชอบถ่ายกับธรรมชาติเป็นหลัก และแสงธรรมชาติเป็นหลัก เราชอบถ่ายกับบรรยากาศ ถ่ายกับสถานที่ ที่เห็นบรรยากาศกว้าง ๆ และชอบถ่ายบนดาดฟ้า และเราก็ชอบแต่งภาพในสีที่เราชอบ ส่วนแรงบันดาลใจในการถ่ายภาพ เราชอบความรู้สึกของการกับมาดูภาพถ่าย มากกว่าการถ่ายภาพ เราจึงอยากจะถ่ายให้ดี ให้เหมาะกับความต้องการกับคนที่ให้เราถ่าย เพราะเมื่อเวลาผ่านไป ภาพถ่ายของเราจะเป็นเครื่องย้อนเวลาให้กับเขา
คิดว่าการถ่ายภาพของตัวเองมีความต่างจากคนอื่นยังไง ทำไมหลาย ๆ คนถึงอยากให้อุ๊จับกล้องถ่ายรูปให้พวกเขา
เราคิดว่าสิ่งที่ทำให้เราต่าง อาจจะเริ่มจากการเติบโต ที่เราต่างกับคนอื่น ๆ เราโตมากับภูเขา ทุ่งนา ท้องฟ้า แม่น้ำ จริง ๆ ตอนเด็ก ๆ เราก็ชอบดูท้องฟ้าระหว่างการเดินทาง เราโตมากับธรรมชาติจริง ๆ ผูกพันกับมันจริง ๆ และด้วยการเรียนศิลปะ มันอาจจะหล่อหลอมเรา ให้ใช้พื้นฐานทางศิลปะ ในการจัดองค์ประกอบต่างๆในภาพ ในการแต่งสีภาพ มากกว่าทักษะการถ่ายภาพ และเราว่ารูปของเรามันดูเป็นงาน ที่เข้าถึงง่าย กับทุกคน เราคิดว่านั่นคือเหตุผลที่คนอยากถ่ายรูปกับเราค่ะ
อุ๊ดูเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อยากรู้ว่าเวลาที่ออกไปถ่ายงานไปคนเดียวหรือมีทีมไปด้วยค่ะ
จริง ๆ แล้วไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนตัวเล็ก เลยนะคะ คิดว่า เตี้ยตันมากกว่า 55 เพราะตอนเด็ก ๆ ไม่ยอมกินนม แต่เห็นแบบนี้ เราเป็นคนที่ไม่ป่วยง่ายเลย ส่วนงานส่วนใหญ่แล้วเราจะไปคนเดียวค่ะ ส่วนงานที่ ถ่ายคน จำนวนมาก ๆ หรือเป็นงานที่สกิลใหญ่หน่อย เราจะมีผู้ช่วยไปด้วย เพื่อลดความเหนื่อยของเรา และส่งเสริมให้งานเราดีขึ้นด้วยค่ะ
ในฐานะที่เป็นช่างภาพ ความรู้สึกเวลาที่ถ่ายภาพ กับเวลาที่ถูกถ่าย ความรู้สึกมันแตกต่างกันยังไงบ้าง
ความรู้สึกของการถูกถ่าย เราไม่สามารถรู้เลย ว่าเราจะออกมาเป็นแบบไหน และเมื่อช่างภาพกดเตอร์ ภาพนั้นก็จะกลายเป็นอดีต เราชอบดูภาพถ่ายตัวเองในอดีต มากกว่าการตอนโดนถ่ายรูป เราเลยยอมโดนถ่าย เพื่ออยากรู้ว่าตัวเองในอดีตเป็นยังไงส่วนความรู้สึกของการเป็นช่างภาพ คือ การหาความลงตัวระหว่างเค้ากับเรา ให้เค้าเป็นเค้า ที่อยู่ในมุมมองของเรา
นอกจากการถ่ายภาพแล้วมีอะไรอย่างอื่นที่สนใจอีกไหมค่ะ
เราสนใจงานถ่ายวีดีโอ งานเขียนบท งานกำกับ ในงานภาพยนตร์ค่ะ
ภาพถ่ายที่พี่ประทับใจมากที่สุดคือภาพไหนและเพราะอะไรถึงประทับใจค่ะ
จริง ๆ เรามีภาพที่เราประทับอยู่หลายภาพนะ แต่เลือกภาพนี้ก็แล้วกัน เพราะเป็นรูปที่ชอบรูปหนึ่งในช่วงเวลานี้ รูปนี้ทำให้เราคิดถึง “ความฝันในวัยเด็ก” และเรารู้สึกว่าเราได้อยู่ใกล้ท้องฟ้ามาก ๆ นั่นคือความฝันของเรา
หลายคนบอกว่าอุ๊เป็นช่างภาพที่มีคนต่อคิวรอให้ไปถ่ายงานรับปริญญามากที่สุด คิวงานแน่นตลอด มีการแบ่งเวลายังไงทั้งเรื่องงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว
เราว่าเรายังไม่ได้เป็นคนแบ่งเวลาในการทำงานที่ดีนะ แต่เรารู้ว่าควรทำอะไร คือเราพยายามทำเรื่องที่ต้องทำให้เป็นเป็น “กิจวัตร” อย่างเช่นเป็นช่างภาพ แน่นอนว่าเราต้องเตรียมอุปกรณ์ในการทำงาน ชาตแบต ลงรูป แต่งรูป แบคอัพข้อมูล ฯลฯ นั่นแหละคือเราต้องทำให้เป็นกิจวัตรประจำวันให้เหมือน การแปรงฟัน ล้างหน้า แต่งหน้า แต่งตัว ส่วนเรื่องพลังในการทำงานเนี่ย เราจะใช้วิธีที่แบบ สร้างจุดหมายปลายทางในการทำงานไว้ เช่น ถ้าทำงานแต่งรูปเช็ตนี้เสร็จ เราจะไปชอปปิ้งนะ ไปกินข้าวกับเพื่อนนะ ออกไปเที่ยวต่างจังหวัดนะ นั่นแหละคือถ้าเรามองเห็นจุดหมายที่เราอยากทำแล้ว เราก็อยากจะรับผิดชอบงานให้เสร็จ
ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ มีผลงานอะไรให้เพื่อนๆ ติดตามบ้างคะ
ตอนนี้เป็นช่างภาพอิสระ ค่ะ รับถ่ายทั้งภาพนิ่ง และวีดีโอค่ะ มีร้านเสื้อผ้ามือสองเล็กๆชื่อ MANEEWHITESPACE กับร้านขายเคสโทรศัพท์ MADEBYSEASONSONG
และมีโปรเจคแสดงงานวีดีโออาร์ต กับแกลลอรี่ g23 ในวันที่ 19 กันยายน 2557 ค่ะ
อยากให้ช่วยฝากถึงคนที่ติดตามผลงานของมานีมีใจอยู่
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามผลงานเรา ไม่คิดว่าจะมีจำนวนเยอะมากขนาดนี้ ทุกคนคือแรงผลักดันให้เราทำงาน ตั้งใจทำงาน เราอยากจะฝากให้สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองสนใจ หรือ ชอบอะไร เราอยากให้ทุกคนลองทำอะไรหลายๆอย่าง ลองเปิดใจ ลองเดินหลงทางบ้าง ยอมขาดทุนบ้าง ยอมแพ้บ้าง แล้วคุณจะพบว่าคุณชอบอะไร คุณอยู่กับอะไรได้นานๆ ทำให้ถึงที่สุด แค่นั้นชีวิตก็มีความสุขได้ค่ะ
ฝากช่องทางการติดต่อ และติดตามผลงานของมานีมีใจ
Fanpage : maneemejai photographer
Email : [email protected]
Ig : maneemejai
Line : maneemejai
อยากให้ช่วยเลือกผลงานภาพถ่ายของตัวเอง 5 ภาพ ใน concept #Lookme ภาพที่เป็นคุณที่สุด ฝากเพื่อน ๆ ชาว Lookbook ชมหน่อยคะ
Let our photo be your time machine .♡