ช่วงเวลาหนึ่งคงไม่มีใครไม่รู้จัก คุณลุงชาวต่างชาติหน้าตาใจดีที่มาเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับครั้งแรกในประเทศไทย ด้วยความตลกหน้าตายและเรื่องเล่าเกี่ยวกับคนไทยในมุมมองของชาวต่างชาติที่ทำให้คลิปนี้เป็นที่พูดถึงอย่างมากในกระแสโลกออนไลน์กับคลิปที่มีชื่อว่า Bankok 1st Time People ประจำสัปดาห์นี้ของเราจะชวนเพื่อนๆ ชาว Lookbook มาพูดคุยทำความรู้จักกับเจ้าของไอเดียที่ทำให้คุณลุงชาวต่างชาติคนนี้เป็นที่รู้จักของคนไทย รวมถึงผลงานหนังสือที่ขึ้นชื่อว่าเป็น Best Seller ของเขา กับเรื่องเล่ากวนๆ แปลกใหม่ที่ถูกใจใครหลายคนอย่าง Newyork 1st Time กับนักเขียนหน้าใหม่ไฟแรงที่ใครหลายๆ คนกำลังติดตามผลงานของเขาอยู่ เบนซ์ ธนชาติ ศิริภัทราชัย
ก่อนที่พี่เบนซ์จะมาทำงานเขียน และทำคลิปที่โด่งดังอย่าง Bankok 1st Time พี่เบนซ์มีผลงานหรือทำอะไรมาก่อนคะ
เราเรียนทางสายภาพยนตร์ที่ธรรมศาสตร์ พอเราเรียนจบแล้วเราก็ไปเป็นผู้ช่วยผู้กำกับในหนังเรื่อง ลุงบุญมีระลึกชาติ หนังของพี่เจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ก็ทำเรื่องนี้อยู่ประมาณ 8 เดือน ระหว่างทำพี่เจ้ยแกก็บิ้วท์ๆ ให้ไปเรียนต่อเมืองนอกให้ไปหาอะไรใหม่ๆ ทำดูข้างนอกครับ เราก็เริ่มเตรียมพร้อม สอบ tofel หาที่เรียน แล้วในปีต่อมาพอจบงานจากพี่เจ้ยเราก็ไปเรียนต่อเลย
พี่เบนซ์เลือกไปต่อปริญญาโทที่ประเทศไหน ด้านที่เลือกเรียนเกี่ยวกับอะไร เราเลือกไปเรียนต่อที่อเมริกา เรียนเกี่ยวกับภาพถ่าย วีดีโอ แล้วก็ใดๆ ที่มันใช้กล้อง ใช้เลนส์ คือ โดยรวมเขาเรียกว่า lens based art ก็คือศิลปะทั้งหลายแหล่ที่ใช้เลนส์เป็นตัวทำ
แล้วทำไมพี่เบนซ์ถึงเลือกไปที่อเมริกาคะ
คือลุงเราอยู่ที่นั้นเป็นประชากรที่นั้นเลย ถ้าไปที่นี้มันก็ประหยัดค่าใช้จ่าย แล้วอีกอย่างคือเราจะเรียนทางด้านศิลปะและ Newyork มันก็เป็นเมืองแห่งศิลปะอยู่แล้วในยุคปัจจุบัน ที่นั้นมีศิลปะหลากหลายมีมิวเซียมให้เข้า มันมีศิลปะอยู่บนถนนที่เราสามารถเดินเห็นอยู่ทุกวัน เพราะฉะนั้นโอกาสการเปิดรับงานข้างนอกมันเยอะกว่า มันมีโอกาสที่ความคิดสร้างสรรค์ของเรามันจะงอกเงยได้มากกว่าเราก็เลยเลือกที่ Newyork
มาพูดถึงผลงานหนังสือของพี่เบนซ์ อย่าง Newyork 1st Time ที่พี่เบนซ์เริ่มเขียนจากการไปเรียนต่อโทที่อเมริกา เราอยากรู้ว่าทำไมพี่เบนซ์ถึงเลือกที่จะเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ครั้งแรกใน Newyork เพราะอะไรถึงอยากถ่ายทอดประเด็นนี้คะ
ถ้าปูพรมตั้งแต่แรกเลย คือเราคุยกับแบงค์ที่เป็น บก. ว่า “เดี๋ยวจะไป Newyork อยากให้เขียนหนังสืออะไรไหม?” แบงค์ก็บอก “เขียนมาสิ แต่ว่าไม่เอา guide book เอาเป็นเรื่องราวของคนคนหนึ่ง แต่ว่าให้มีธีมอะไรสักอย่าง อย่าให้เหมือน Diary นักเรียนนอกเกินไป” เราก็ทำไป เขียนๆ ยังไม่ได้คิดธีม เจออะไรก็เขียนไป จนมีวันหนึ่งเราไปเล่นบาส จริงๆ เราชอบเล่นบาสมาตั้งแต่อยู่ไทยแล้ว แล้วเราได้ไปเล่นกับคนผิวดำ อยากรู้ว่าต้นตำรับบาสเกตบอลมันเป็นยังไง แล้วก็โดนดีเลย แบบว่าโดนตบกระจายยย กลับมาบาดเจ็บข้อเท้าพลิก เราก็คุยกับแบงค์ “ไปเล่นบาสกับพี่เขาครั้งแรกโคตรโหดเลยว่ะ เจ็บทั้งตัวเลย เทียบกับที่ไทยไม่ได้เลย” แบงค์ก็บอก เออ!! งั้นไอเดียอะไรที่มันเป็นครั้งแรก มันก็น่าสนใจนะเพราะมันมีความตื่นเต้น ความโง่ๆ มันมีความไม่พร้อม ความตะกุกตะกัก มันมีความเป็นมนุษย์ เพราะว่ายังไม่มีภาพล่วงหน้าของมันมาก่อน เราก็เลย โอเคธีมนี้ล่ะ ก็เริ่มเขียนจดไว้ ประมาณ 2 ปีพอเราเรียนจบเราก็รวมเล่มได้พอดี ออกมาเป็นหนังสือ Newyork 1st Time ที่ทุกคนเห็น
พี่เบนซ์ไปอยู่ Newyork ตั้งหลายปีอยากรู้ว่าเหตุการณ์ครั้งแรกครั้งไหนที่พี่เบนซ์ประทับใจที่สุด
ประทับใจหรอ เราชอบหลายอันแต่ถ้าแรกที่สุดเลยคือเราโดนปล้น เราโดนคนผิวดำไถเงิน คือเราก็เดินๆ อยู่บนถนนปกติ ในย่านดาวน์ทาวน์คนเยอะๆ เหมือนสีลมสยามบ้านเรา ตอนบ่ายๆ แดดเปลี้ยงเลย เราก็เดินไปก็มีคนยื่นซีดีให้เราแล้วก็พูดประมาณว่าอุดหนุนศิลปิน hip hop หน่อยไหม เราก็ได้ยินว่า Newyork เป็นเมืองศิลปินก็เลยรับมาตอนแรกนึกว่าฟรี ปรากฏว่าเขาบอกให้เราบริจาคหน่อยเราก็โอเคบริจาคให้ไปเหรียญหนึ่ง เขาก็บอกว่าไม่พอ เราก็เริ่มตะหงิดๆ ละ บริจาคมันมีไม่พอด้วยหรอ ? มันขึ้นอยูกับคนให้ไม่ใช่หรอ แต่เราก็ให้เขาไปนะเพราะกลัว ให้ไปสามเหรียญละเขาก็ยังไม่ไป แล้วยังก็เรียกเพื่อนมาอีก 5-6 คนมาล้อมเรา แล้วก็บอกว่าเอาเงินมาอีกๆ เราก็ไม่รู้นี้ไปถึงวันแรกภาษาอังกฤษก็ไม่เป็น เมืองอะไรก็ไม่รู้จัก เดินอยู่คนเดียว ก็ควักไปให้อีก 10 เหรียญ ก็ยังไม่พออีกคือแล้วเขาตัวใหญ่มาก หุ่นบึ๊กๆ จนสุดท้ายคือเราทำไรไม่ได้คิดไรไม่ออกเราก็เลยตะโกนว่า I don’t like hiphop ดังมากกลางถนนเลย คือตอนนั้นคิดรูปประโยคอื่นไม่ออกแล้วประโยคนี้ง่ายสุด เขาก็เลยผงะแล้วคนรอบข้างเขาก็มองเราเลยอาศัยจังหวะช่วงนั้นวิ่งหนีออกมา จากนั้นก็กลับมานอยที่บ้านว่า Newyork ที่เราคิดมันไม่ใช่แบบนี้ มันคือ time square, empire state ชิคๆ เก๋ๆ มันมีแง่มุมนี้ด้วยนะ มันโหดอะเราจะรอดหรออยู่ตั้งสามปี แต่หลังจากวันนั้นมองย้อนกลับไปเรากลับคิดว่า เอ้ย เหตุการณ์นี้ดีนะ มันอยู่ในใจเราเพราะว่ามันสอนให้เราเป็นคนที่กล้าสู้คนมากขึ้น ในเมืองโหดๆ เมืองที่ตัวใครตัวมันแบบ Newyork คุณต้องเป็นที่พึ่งของตัวเอง ต้องรู้จักสู้และปฏิเสธคน ก็เป็นเรื่องนี้ที่เรารู้สึกว่ามันประทับอยู่ในวิถีชีวิตเราจริงๆ
แล้วคลิป Bankok 1st time เกิดขึ้นได้ยังไงคะ ไอเดียของการทำคลิปนี้คืออะไร
มันเริ่มจากเราไปคุยกะแบงค์ว่า “หาทางโปรโมทหนังสือกันไหม? เพราะเราก็เป็นนักเขียนหน้าใหม่ ก็น่าจะมีวิธีแนะนำตัวเองให้คนรู้จัก” แล้วก็มานั่งคิดๆ กันว่า youtube เป็นอีกช่องทางที่น่าสนใจ เพราะว่าหนังสือมันเขียนเป็นตัวอักษร ถ้าทำอะไรที่มันเป็นภาพมันก็น่าจะน่าสนใจ คิดต่อเนื่องว่า จะทำอะไรดีละ เพราะว่าจะไปถ่ายวีดีโอที่ Newyork ไปเที่ยววิวสวยๆ ชิคๆ มันก็ดูไกลตัวใช่ไหม วิธี PR มันน่าจะทำให้คนรู้สึกว่ามันใกล้ตัวกับเขามากขึ้น เราก็เลยคิดว่า งั้นมันควรจะเป็นเรื่องไทยๆ ถ้าในหนังสือมันเป็นเรื่องของคนไทยที่ไปอยู่ใน Newyork ครั้งแรก ในคลิปมันก็ควรเป็นคน Newyork ที่มาอยู่เมืองไทยครั้งแรกไหม มันดูน่าสนใจดีนะ น่าจะมีแง่มุมอะไร มีลูกเล่น มีไอเดีย มีคอนเซ็ป อะไรที่เอามาทำได้ สุดท้ายก็มาเจอลุงคนนึง ที่เราเคยไปรับจ้างถ่ายงานให้เขาตอนเราไปอยู่ที่นั้น เขาเป็นนักเต้น เราว่าคาเรกเตอร์เขาน่าสนใจก็เลยเอามา ก็เขียนบทเขียนสคริปต์ให้เขาก็ได้มาเป็นคลิปที่ทุกคนเห็นครับ
เพราะอะไรพี่เบนซ์ถึงเลือกที่จะเขียนเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์ครั้งแรกใน Newyork มาเขียน ทำไมถึงอยากนำเสนอประเด็นนี้ออกมาให้ทุกคนอ่านคะ
ถ้าปูพรมตั้งแต่แรกเลย คือเราคุยกับแบงค์ว่า “เดี๋ยวจะไป Newyork อยากให้เขียนหนังสืออะไรไหม?” แบงค์ก็บอก “เขียนมาสิ แต่ว่าไม่เอา guide book เอาเป็นเรื่องราวของคนคนหนึ่ง แต่ว่าให้มีธีมอะไรสักอย่าง อย่าให้เหมือน Diary นักเรียนนอกเกินไป” เราก็ทำไป เขียนๆ ยังไม่ได้คิดธีม เจออะไรก็เขียนไป จนมีวันหนึ่งเราเล่นบาส เราชอบเล่นบาสมาตั้งแต่อยู่ไทยแล้ว ไปเล่นกับคนดำ อยากรู้ว่าต้นตำรับบาสเกตบอลมันเป็นยังไง แล้วก็โดนดีเลย แบบว่าโดนตบกระจายยย กลับมาบาดเจ็บข้อเท้าพลิก เราก็คุยกับแบงค์ “ไปเล่นบาสกับพี่เขาครั้งแรกโคตรโหดเลยว่ะ เจ็บทั้งตัวเลยอ่ะ เทียบกับที่ไทยไม่ได้เลย” แบงค์ก็บอก เอ้อ! งั้นไอเดียอะไรที่มันเป็นครั้งแรก มันก็น่าสนใจนะเพราะมันมีความตื่นเต้น ความโง่ๆ มันมีความไม่พร้อม ความตระกุกตระกัก มันมีความเป็นมนุษย์ เพราะว่ายังไม่มีภาพล่วงหน้าของมันมาก่อน เราก็เลย “โอเคได้ธีมล่ะ” เราก็เขียนจดไว้ๆ ทีนี้ละ ประมาณ 2 ปีพอเราเรียนจบเราก็รวมเล่มได้พอดี
พี่เบนซ์เริ่มงานเขียนตั้งแต่เมื่อไรคะ
เริ่มต้นงานเขียนจริงๆ มันเริ่มมาจากหลังจากงานพี่เจ้ย หลังจากที่ออกกองถ่าย เราก็จะมีบล็อก บล็อกหนึ่งมันชื่อ that day หรือว่าวันก่อนครับ เราเขียนไอนั้นมาอยู่แล้วล่ะ เราก็เขียนมาเรื่อยๆ แล้วพอจบงานพี่เจ้ย มันก็มีงานหนังสือทำมือของ a book ที่จัดขึ้นให้พวกคนทำหนังสือหน้าใหม่ แล้วเราก็รวมเรื่องในบล็อกนี้ล่ะ มาคัดๆ แล้วก็รวมเป็นหนังสือประมาณ 100 กว่าหน้า มาขายเล่มละ 50 บาท ก็ขายหมดนะ พิมพ์มากี่ทีก็ขายหมด พี่บิ๊ก บก.ที่สำหนักพิมพ์ a book เขาก็เลยชวนรวมเล่มเป็นเล่มใหญ่ ทำให้เป็นหนังสือขายทั่วประเทศเลย เพราะเห็นว่ามันดูมีประสิทธิภาพ เราก็เลยตอบตกลงโอเค แล้วนั้นก็เป็นหนังสือเล่มแรกของเรา ทำกบเพื่อน 2 คน ชื่อว่า “วันก่อนครับ”
พี่เบนซ์เป็นทั้งนักเขียนและช่างภาพ พี่เบนซ์คิดว่าทั้งสองทางนี้เสน่ห์ของมันต่างกันยังไงคะ พี่เบนซ์ชอบทางไหนมากว่า
มันเปนงานสร้างสรรค์คนละแบบ ถ้าหนังสือนี้มันก็เป็นการสื่อสารด้วยตัวอักษร แต่ถ้าภาพมันก็เป็นการสื่อสารด้วยภาพ ซึ่งเราทำทั้งสองอย่างพอถึงจุดหนึ่งเราจะรู้ว่าวิธีการเล่าเรื่องของเรามันหยิบยืมกันได้ระหว่างสองศาสตร์นี้ มันแชร์กันได้และก่อให้เกิดความเป็นไปได้ใหม่ๆ ขึ้นมา อีกอย่างคือเราเป็นคนขึ้เบื่ออยู่แล้วไม่ว่าจะทำอะไรเราจะทำนานๆ ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ หนัง หรือโปรเจคถ่ายภาพเต็มที่ที่เราจะอยู่กับมันก็ 6 เดือนถ้าอยู่กับโปรเจคไหนนานๆ เราจะรู้สึกว่ามันเริ่มตึงแล้ว มันคิดมากไป คิดลึกไปแล้วมันเริ่มไม่สนุกละ แล้วลายเซ็นของงานเราอีกอย่างคือความสนุกๆ ทีเล่นทีจริง กวนๆ เพราะฉะนั้นถ้าเราเครียดกับมันจนเกินไปทำกับมันนานจนเกินไปไอเดียมันจะไม่ออก มันเลยต้องเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น การทำงานของเราก็คือการวนไปเรื่อยๆ โชคดีที่เราสนใจงานหลายแบบ
นอกจากความสามารถทางด้านงานเขียนแล้วพี่เบนซ์ยังจบมาทางด้านภาพยนต์ พี่เบนซ์ชอบถ่ายภาพเราอยากรู้ว่าภาพถ่ายของพี่เบนซ์เป็นสไตล์ไหน พี่เบนซ์ชอบถ่ายอะไรบ้าง
จริงๆ เราชอบถ่ายหลายแบบนะ ถ้าแบบแรกก็คงเป็นแนวแบบ landscape พวกวิวทิวทัศน์ต่างๆ ในเมือง ภูเขา ท่องทุ่ง แต่เราชอบภาพที่มันดูน้อยๆจัดให้มันเป็นระเบียบๆ หน่อย เป็นแนว minimal ถ้าแบบที่สองเราชอบถ่ายแนว Street ที่ Newyork มันมีเอกลักษณ์ของมันมันมีความมั่วๆ มีคนหลากหลายเชื้อชาติมีการแสดงออกที่ชัดเจน บางวันเราก็เดินไปตามถนนใน Newyork ถือกล้องตัวหนึ่งแล้วก็ถ่ายๆๆ เนื่องจากคน Newyork ค่อนข้างคุนเคยกับคนแปลกหน้าเขาเลยไม่คอยมี feedback อะไร แต่ความจริงเราก็ไม่ค่อยแคร์นะ เพราะอย่างที่บอก Newyork สอนให้เราสู้คน ถ้าเราอยากได้ภาพแบบนั้นในฐานะศิลปินเราก็ต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองและมันก็ไม่ได้มีอะไรสียหายถ้าเราคิดว่ามันอยู่ในขอบเขตเราก็ทำไป ส่วนสุดท้ายเราชอบงานที่ช่างภาพมี interaction กับคนที่อยู่ในเฟรมมีปฎิสัมพันธ์มีความเชื่อมโยงกัน คือเห็นช่างภาพอยู่ในเฟรมถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น ถ้าย้อนกลับไปก็คือโปรเจคสมาร์ทโฟนที่เราไปตะโกนบนรถไฟฟ้า และตอนนี้เราก็กำลังจะทำโปรเจคไปขอถ่ายห้องรับแขกเขาโดยการไปเคาะประตูตามบ้านคนอื่น
เมื่อกี้พี่เบนซ์พูถึงโปรเจคภาพถ่ายสมาร์โฟน อยากให้พี่เบนซ์ช่วยพูดถึงโปรเจคนี้หน่อยคะ ว่าที่มาที่ไปเป็นยังไง ไอเดียของโปรเจคนี้คืออะไร
มันมาจากตอนที่เราเรียนที่นู้นแล้วมันมีช่วงซัมเมอร์เราเลยอยากจะกลับมาที่เมืองไทยอยากมาทำโปรเจคบางอย่างเกี่ยวกับประเทศบ้านเกิด แต่กลับมาถึงสิ่งแรกที่เราเห็นคือคนเล่นสมาร์ทโฟนเยอะมาก แบบบางที่เราขึ้นรถบางโบกี้มีเราอยู่คนเดียวที่เงยหน้ามอง จนเรารู้สึกว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันดูแปลกตา ถ้าเราคิดโปรเจคให้มันออกมาตรงข้ามกับภาพที่เห็นตรงหน้ามันจะเป็นยังไง ถ้าทุกคนก้มหน้าหมดแล้วถ้าภาพถ่ายเรามันคือคนเงยหน้ามามองที่จุดเดียวมันก็ดูน่าสนใจดี ก็เลยขึ้นไปกับเพื่อนอีกคนกล้องคนละตัว เลือกตะโกนคำแปลกๆ ไป เช่น ไข่ดาว จระเข้ คำที่มันไม่เกี่ยวกับบริบทเลยแล้วก้ถ่ายไป หลายๆ คนก็งงๆ นะ แต่คนไทยเป็นมิตรมันก็ไม่เจอ feedback อะไรเท่าไร ก็สนุกๆ ดี
พี่เบนซ์มีผลงานหลายชิ้น อยากรู้ว่าผลงานชิ้นไหนที่พี่เบนซ์ชอบที่สุดคะ
ถ้าเป็นงานที่เรารักคงเป็นงานชิ้นแรกของเราเลย ตอนนั้นเราอยู่ปี 1 เพื่อนเขาก็ทำหนังสั้นกันเราก็อยากทำบ้างแต่เราไม่มีเงินซื้อกล้อง สมัยนั้นมันเป็นกล้องมินิดีวีซึ่งราคามาแพงมาก เราก็คิดว่าจะทำยังไงดีนะ แล้วตอนนั้นเราก็ไปเจอเพลงรักแท้ดูแลไม่ได้ของโปเตโต้เราชอบมาก ด้วยความที่อยากทำอยู่แล้วเราก็เลยตัดสินใจทำเอ็มวีเพลงนี้ แต่เราไม่ได้ออกไปถ่ายใครนะ เราไปเอาหนังสือโดเรม่อนครบเซทมานั่งเปิดหาทีละช่องแล้วก็เอากล้องถ่ายรูปถ่ายทีละช่องๆ แล้วเอาไปลบคำพูดออกในคอมฯ มารวมต่อกันให้ซิ้งกับเนื้อเพลงเป็นเหมือนโดเรม่อนที่รักโนบิตะดังเพื่อนแท้แต่โนบิตะทำตัวไม่ดีจนวันหนึ่งโดเรม่อนได้จากไป โนบิตะเพิ่งตระหนักถึงความรักความห่วงใยของโดเรม่อน ก็เป็นงานที่จะว่าดีก็ไม่ได้ดีอะไรมากแต่มันอยู่ในใจเรา อย่างที่บอกว่าอะไรที่ทำเป็นครั้งแรกมันจะอยู่ได้นานเสมอ
ถ้าพี่เบนซ์ไม่เป็นนักเขียน ไม่เป็นถ่ายภาพ ไม่ถ่ายวิดีโอ พี่เบนซ์คิดว่าตัวเองจะไปประกอบอาชีพอะไรอย่างอื่นที่พี่สนใจอีกไหมคะ
เราคงจะไปเป็นเชฟ เราชอบทำอาหาร เพราะอยู่ที่นู้นไปซื้อเขากินมันแพงมาก เราเลยต้องไปซื้อของมาทำกินเอง เราว่าการทำอาหารมันสนุกมากเลย มันได้ปรุงได้ลองชิม มันเหมือนศิลปะผสมวิทยาศาสตร์มากๆ เราทำสเต๊กเก่งเรารู้ว่าแบบไหนคือ medium แบบไหนคือ rare แบบไหนคือ Well done เรารู้ว่ามันต้องหมักยังไง สเต๊กแบบไหนกินกับซอสอะไร กินกับไวน์แบบไหน เราว่าเราคงไปเปิดร้านสเต๊กละ
แล้วตอนนี้พี่เบนซ์มีผลงานอะไรให้เพื่อนๆ ติดตามบ้างคะ
ก็มีหนังสือเล่มใหม่ชื่อว่า The real alaska อลาสก้าล้านเปอร์เซ็น เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางในอลาสก้า เราไปอลาสก้ามา 15 วัน แล้วก็จะมีโปรเจคที่เราทำร่วมกับ greyhound เป็นหนังสือแคตตาล๊อคแจกฟรีที่รวบรวมศิลปินแขนงต่างๆ เราก็เป็นหนึ่งในนั้นภายในก็จะมีภาพถ่ายแล้วก็งานเขียนของเราอยู่ ช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้เราก็จะกลับไปที่ Newyork ก็จะไปทำกับ national geographic เกี่ยวกับพวกเรื่องจิตวิทยามนุษย์ แล้วก็ทำโปรเจคกับนิตยสาร Newyorker โดยนำพวกบทกลอนจะคอลัมน์ในนิตยสารมาตีโจทย์เป็นวิดีโอสื่อสารกับคนดู อัปลงในเว็บไซต์ของนิตยสาร Newyorker และสุดท้ายก็จะมีแปลหนังสือกับมติชน ฝากติดตามด้วยนะครับ
ให้พี่เบนซ์ฝากช่องทางติดตามผลงานของเบนซ์กับเพื่อนๆ ชาว Lookbool หน่อยคะ
Facebook : Benz Thanachart
Facebook : Salmon Books
Website : Click
สุดท้ายนี้พิเศษสุดๆ เพราะเราได้มีโอกาสถ่ายภาพสิ่งของในกระเป๋าของพี่เบนซ์ กับ #Lookbag ไปดูกันว่าในกระเป๋าพี่เบนซ์จะมีอะไรอยู่บ้าง
จากการพูดคุยกับผู้ชายคนนี้บอกได้เลยว่า นอกจะความสามารถที่มากมายของเขาแล้วเขายังเป็นผู้ชายอารมณ์ดี และสามารถ keep character ความกวนๆ และความตลกหน้าตายของเขาไว้ได้อย่างดี เพราะนอกจากการพูดคุยที่สนุกสนานแล้วเขาคนนี้ยังอำทีมงาน Lookbook ของเราซะเชื่อสนิทใจว่าหนังสือเล่มใหม่ของเขาจะเขียนเกี่ยวกับ แก๊งค์ Newyorker ที่รักการตีไก่ชน ! เพื่อนๆ ชาว Lookbook คนไหนกำลังจะไปหาหนังสือเล่มใหม่ของเขามาลองอ่านอยู่ ถ้าใครเจอเรื่องเกี่ยวกับ Newyorker ที่รักการตีไก่ชนแล้ว ก็อย่าลืมแวะมากระซิบบอกทีมงาน Lookbook บ้างนะคะ ฮ่าาาา
ปล. แอบกระซิบบอกใครที่เป็น FC คุณลุงเนลสันหรือจอร์นที่หลายคนรู้จัก งานหนังสือที่จะถึงนี้พี่เบนซ์ควงคุณลุงเนลสันมาให้เจอตัวเป็นๆ ที่งานเลยใครอยากเจอก็อย่าลืมไปกันนะคะ ติดตามรายละเอียดที่ Click