หนุ่มหล่อมาดเซอร์ ผมยาวกระชากใจสาวๆ เรียกได้ว่าเด็กแนวทั่วไทยไม่มีใครไม่รู้จักเขา เรากำลังพูดถึง คุณโอ๊ค ณพัฒน์ กรรขำ พระเอก Mv ที่มียอด View คนเข้าชม ถึง 24 ล้านคน !! นอกจากดีกรีความ Hot จะไม่เป็นรองใครแล้ว สกิลความสามารถในการถ่ายภาพของเขายังเป็นที่น่าจับตามองไม่แพ้กัน พอรู้ข่าวว่ากลับมาเมืองไทย Lookbook.th เลยรีบไปคว้าตัวมาพูดคุยให้เพื่อนๆ ได้รู้จักกับผู้ชายสุดเซอร์คนนี้ให้มากขึ้น
ช่วยแนะนำตัวกับเพื่อนๆ ชาว Lookbook หน่อยค่ะ
สวัสดีครับ ชื่อ ณพัฒน์ กรรขำ ชื่อเล่น โอ๊ค เป็นช่างภาพอิสระ จบปริญญาตรีคณะนิเทศศาสตร์ สาขา วิทยุกระจายเสียง มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ตอนนี้กำลังต่อโทอยู่ที่อังกฤษครับ
คุณโอ๊คเริ่มถ่ายภาพจริงจังตั้งแต่เมื่อไรคะ เข้าไปทำงานในวงการการถ่ายภาพได้ยังไง
ที่จริงชอบถ่ายภาพมาตั้งแต่เด็กแล้ว เริ่มจากถ่ายกล้องฟิมล์ของแม่ เราก็เริ่มถ่ายแบบมั่วๆ ตอนนั้นเราไม่รู้อะไรเลย กดอย่างเดียว พอเราล้างมาดูแล้วมาติดรูปเรารู้สึกว่ามันสวยดีก็เลยเริ่มสนใจการถ่ายรูปมาตั้งแต่ตอนนั้นเลย พอมาตอนที่เรียนปริญญาตรี มีวิชาถ่ายภาพอยู่แค่ 1 class เท่านั้นแต่เรารู้สึกชอบมาก ตอนนั้นอาจารย์ให้ซื้อกล้องแต่เราไม่มีเงินไม่รู้จะทำยังไง เราก็เลยขายรถมอไซต์มาซื้อกล้อง 500D มือ 2 หลังจากนั้นกล้องตัวนี้ก็เป็นเพื่อนคู่ใจเรามาตลอด เราก็ถ่ายไปเรื่อยๆ ถ่ายทุกที่ แรกๆ ก็ถ่ายไม่ค่อยเป็นหรอก แต่เวลาเพื่อนมีงานที่ไหนเราก็ตามไปช่วยเขาไปฟรีเลยนะ ตามไปยกขาแฟลช ทำทุกอย่างเหมือนไปฝึกงานกับเขาเลย เขาก็สอนเราก็เลยได้เทคนิคจากเพื่อนคนนี้แล้วก็เอามาปรับใช้ในแบบของตัวเอง เรื่องแต่งรูปก็เหมือนกัน Photoshop นี้ตอนแรกไม่เป็นเลย เราก็ได้เพื่อนช่วยสอนทุกอย่าง จากมั่วๆ จนทำได้ แล้วเรามาเริ่มได้เงินครั้งแรกจากการถ่ายภาพคือ งานรับปริญญาญาติของเพื่อนเขาจ้างเราไปตอนนั้นได้แค่ 1000 บาท ไปกับกล้อง 500D ตัวนั้นไม่มีอุปกรณ์อะไรเพิ่มเลย แต่ถ้ามาเริ่มเข้าวงการถ่ายภาพจริงจังก็หลังจากถ่ายงานรับปริญญาของบัณฑิต ธรรมศาสตร์คนหนึ่ง พอหลังจากงานนี้ลูกค้าเราก็เยอะขึ้นเริ่มจากค่าตัวถูกๆ เลยเราเน้นพอร์ตไว้ก่อนพอเรามีพอร์ตดีแล้วลูกค้าก็จะเชื่อในผลงานเรา แล้วเราเป็นคนค่อนข้างพูดเก่งด้วย ลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะชอบตรงจุดนี้ ก็เลยมีลูกค้าประจำ บางคนนี้ถ่ายตั้งแต่งานรับปริญญามาจนถึงงานแต่งเลย แต่ใจเราชอบเกี่ยวกับการถ่ายภาพแฟชั่น เราก็กลับมาดูภาพ อ่านหนังสือแฟชั่นเกือบทุกเล่ม เว็บแฟชั่น ดูทุกวันเผื่อมาปรับใช้การงานของเรามันเลยทำให้งานของเราแตกต่าง ก็เริ่มมาจากตรงนั้น
เห็นว่าคุณโอ๊คกำลังเรียน ปริญญาโท อยู่ที่ต่างประเทศเรียนเกี่ยวกับอะไร แล้วมีโอกาสไปเรียนที่นั้นได้ยังไงคะ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยค่ะ
อย่างที่บอกเลยว่าเราสนใจในการถ่ายภาพแฟชั่นอยู่แล้ว และเราก็อยากได้อะไรใหม่ๆ ก็เริ่มจากเอาเงินที่ได้จากงานรับถ่ายภาพรับปริญญานี้ละ มาทุ่มทำพอร์ต แล้วงานเราไปเข้าตาแบรนด์เสื้อผ้าแบรนด์หนึ่งชื่อ CHAYADA ก็เลยได้เริ่มถ่ายกับแบรนด์นี้มาเรื่อยๆ ก็เป็นในส่วนหนึงของพอร์ตเรา มีทั้งโปรเจคนี้ แล้วก็พวกภาพถ่ายรับปริญญา ภาพถ่ายแฟนเราเองบ้าง
ส่วนแรงบันดาลใจที่ทำให้เราอยากไปเรียนต่อส่วนหนึ่งมากจากแฟนเรานี้ละ เขาจะคอยช่วยเหลือ ให้กำลังใจเราตลอดว่าเราต้องทำได้ เราเลยกล้าที่จะลองทำ อีกอย่างคือเราถ่ายภาพมาเรียกได้ว่ารู้เทคนิคค่อนข้างเยอะแล้ว แต่เราไม่รู้อยู่อย่างเดี่ยวคือ “ความคิด” เราอยากไปเอาความคิดจากที่นู้นมาว่าเขามีวิธีคิดงานกันยังไง ถึงถ่ายได้ออกมาแบบนี้ ทำไมเราถึงยังต้องเอาภาพจากเขามาเป็น reference ของเราทำไมเราไม่สร้างงานของเราให้เป็น reference ของเขา มุมมองส่วนตัวของเราเราคิดว่าภาพถ่ายที่เจ๋งมันไม่ใช่แค่การมีอุปกรณ์เจ๋งๆ ถ่ายอย่างเดียวแต่มันอยู่ที่ความคิดในการสร้างภาพนั้นออกมาด้วย พอเราคิดแบบนี้หลังจากนั้นเราก็เริ่มเก็บเงินเพื่อจะไปเรียนต่อ เริ่มแรกที่ยิ่นไปคะแนนภาษาอังกฤษเราไม่ถึงก็เลยลองยื่นไปมหาลัยทั้งในเมืองและนอกเมือง ตอนแรกในเมืองปฏิเสธแต่นอกเมืองรับชื่อ University of Hertfordshire เราก็ตัดสินใจไป ตอนแรกก็ต้องไปเรียนปรับภาษาก่อนประมาณ 6 เดือน ไปตอนแรกนี้ไม่มีคนไทยเลยนะ แต่ต้องแบบอยู่รอดให้ได้ การเดินทางก็ลำบากมากเราไปกับแฟนแต่แฟนเราเรียนในเมืองส่วนเราเรียนอยู่นอกเมืองเราต้องใช้เวลาเดินทางไปกลับจากที่พักไปที่เรียนวันหนึ่ง 4 ชม. เพื่อจะไปเรียน 4 ชม. เท่ากับเวลาที่เราเดินทาง ช่วง 3 เดือนแรกยังปรับตัวไม่ค่อยได้ คอร์สแรกเลยได้แค่ c มา แต่พอหลังๆ เหมือนเราเริ่มได้บ้างละคอร์สต่อมาเราเลยได้ A ก็เตรียมรอที่จะได้ไปเรียนคณะถ่ายภาพแบบจริงๆ จังๆ
แต่วันหนึ่งมหาลัยที่เราเคยส่งพอร์ตไปตั้งแต่แรกตอบกลับมาให้เราลองไปสัมภาษณ์ดู ซึ่งที่นี้เป็นมหาลัยที่เราฝันอยากเรียนอยู่แล้ว คือ University of the Arts London (UAL) ตอนแรกเราตัดใจว่าคงเข้าไม่ได้เพราะคะแนนภาษาอังกฤษเราไม่ถึง วันแรกไปรอล่วงหน้าเป็นชั่วโมงเลยแต่ดันไปสัมภาษณ์ผิดที่ ดีที่เขาเห็นถึงความตั้งใจเลยโทรไปบอกทางที่รอสัมภาษณ์ให้รอเราก่อนเรามาผิดที่ เราไปถึงเราก็ยังพูดไม่ได้ขนาดนั้นก็เลยได้แต่เปิดงานให้เขาดู บวกกับหน้าตาที่จริงจังของเรา พยายามโชว์ทุกอย่างที่เรามีให้เขาดู ปรากฎว่าประกาศผลเราก็ติดได้เรียนที่นี้ แต่คะแนนภาษาเราก็ยังไม่ถึงอีกก็ต้องไปสอบใหม่ เราก็กลับไปเรียนคอร์สปรับภาษาของทางมหาลัยเก่าก่อน จนคะแนนขยับมาดีขึ้นเราก็แจ้งกับทางมหาลัยเก่าว่าเราจะย้ายออกไปเรียนที่ใหม่ ก็จะเริ่มคอร์สปีหน้านี้ครับกับที่ University of the Arts London (UAL) เป็นเกี่ยวกับ Fashion Photography แต่ต้องไปเรียนภาษาเกี่ยวกับแฟชั่นจริงๆ ก่อน 3 เดือนแล้วถึงจะเริ่มเรียน
ผลงานภาพถ่าย หรืองานที่คุณโอ๊คเคยทำมาเป็นการถ่ายภาพแบบไหนบ้าง
ก็เป็นพวกภาพงานปริญญา ภาพ Wedding แล้วก็เป็นภาพแฟชั่นบ้าง
ภาพถ่ายของคุณโอ๊คเรียกว่าเป็นสไตล์ไหน ชอบถ่ายภาพแบบไหนบ้าง ชอบเทคนิคอะไรเป็นพิเศษบ้างหรือเปล่าคะ
เราก็ไม่รู้นะว่ามันเรียกว่าสไตล์ไหน แต่เราเป็นคนชอบภาพสีจืด ชอบถ่ายภาพเน้นอารมณ์เป็นหลัก มีเรื่องแฝงไว้ในภาพ หรือเรียกว่าภาพเล่าเรื่อง คือมันมีอะไรให้คนดูคิดต่อจากภาพของเรา
แรงบัลดาลใจหรือไอดอลของคุณโอ๊คในเรื่องของการถ่ายภาพคือใครบ้าง
คนแรกเลยคือ Tim walker ส่วนคนไทยก็ได้แก่ พี่อะตอม พิสิฐ , พี่บุ๊ง ทศพล , พี่ตึ๋ง, อาร์ม เพื่อนคนแรกที่สอนให้เรารู้จักการแต่งภาพ, Pixie Chic และ พี่จา ชัยฤทธิ์ ประไพ คนนี้ได้มีโอกาสเจอพี่เขาที่อังกฤษ เขาไปเรียนต่อที่เดียวกับเรา พี่เขาก็สอนเราหลายเรื่องเกี่ยวกับการถ่ายภาพแฟชั่น
คิดว่าอะไรทำให้พี่รักในการถ่ายภาพ เสน่ห์ของอาชีพนี้ในความคิดของพี่คืออะไร
การถ่ายภาพก็คือภาพนิ่งใช่ไหม มันไม่เหมือนวิดีโอ เสน่ห์ของการถ่ายภาพก็คือจะทำยังไงให้คนคิดต่อได้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นต่อไป นั้นละคือสิ่งที่เราหลงใหลในการถ่ายภาพ
จากการติดตามจะเห็นว่าคุณโอ๊คชอบถ่ายภาพ Fashion street ที่ต่างประเทศ อยากรู้ว่าคุณโอ๊คเคยได้ร่วมงานหรือมีผลงานอะไรที่นู้นบ้าง
เราเริ่มจากช่วงว่างตอนรอเรียนต่อ ก็ไปเจอ London fashion week ก็เริ่มหา ติดต่อพวก Young Designer ก็ส่งพอร์ตไปให้เขาดู เพราะเราอยากลองไปทำงานตรงนั้น ก็มีคนติดต่อมาเราก็เลยได้ไปทำก็ได้ไปถ่ายงานให้เขาแล้วก็ถ่ายพวก ภาพ Fashion street หน้างานไปด้วย เราก็มีโอกาสได้ contact จากงานนี้มาค่อนข้างมาก แล้วก็ได้ร่วมงานกันหลายเจ้า แล้วก็ได้มีโปรเจคของตัวเองขึ้นมา คือโปรเจค After something done ต่อมาก็ได้ทำอีกโปรเจคหนึ่ง ซึ่งตัวนี้ได้ลงนิตยสาร huf magazine ของที่นั้น ชื่อว่า Short Term Memory โปรเจคนี้ถือเป็นงานที่ช่วยให้เรามีกำลังใจในการทำงานมาก ในฐานะคนที่เพิ่งถ่ายแฟชั่นก็มีโอกาสได้ลงตัวนี้ เราโชคดีด้วยที่เราได้ทีมที่ดี ได้คนแนะนำที่ดีก็เลยได้มีโอกาสดีๆ แบบนี้เช่นกัน แล้วก็ได้มีโอกาสลงเว็บ spiegel ของเยอรมันในฐานะช่างภาพที่น่าจับตามอง ก็จะมีประมาณนี้ครับ
นอกจากความสามารถในการถ่ายภาพแล้ว คุณโอ๊คยังค่อนข้างเป็นที่รู้จักและมีคนติดตามในเรื่องแฟชั่นการแต่งตัว สไตล์การแต่งตัวของคุณโอ๊คเป็นสไตล์แบบไหนคะ
ความชอบของเรามันเป็นแนวเซอร์ เริ่มมาจากเรื่องง่ายๆ เลย คือเราไม่มีเงินไปซื้อของแพงๆ เลยคิดว่า look เซอร์นี้ละ มันขายได้สิ ก็เลยแต่งแนวนี้เลย ง่ายๆ เสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้าบูท ไม่ต้องมียี่ห้อก็ได้ ขอแค่สี และรสนิยมมันเหมาะกับเรา เราก็ซื้อมาใส่ ส่วนแรงบรรดาลใจก็มาจากวงดนตรีต่างชาตินี้ละพวก king of leon , arctic monkey ฯลฯ ก็เอามาปรับให้เหมาะกับเรา ส่วนเรื่องทรงผมกะหนวดเครานี้ ตอนแรกเราไม่ได้ไว้หนวดก็มีคนชอบมาทักว่าเราหน้าหวาน หน้าเหมือน ซิน วง ซิงกูล่า เราก็เลยหันมาไว้หนวดแล้วก็เริ่มหาคาแรกเตอร์ของตัวเอง พอเริ่มเจอทางของตัวเองแล้วก็มีคนมาติดตามเราเยอะขึ้น ฮ่าๆ
ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศอยากรู้ว่ามุมมองเกี่ยวกับแฟชั่นและการแต่งตัวของคนที่นู้นกับคนไทยต่างกันยังไงบ้าง
เอาจริงๆ คนไทยก็แต่งตัวเก่งนะ ไม่แพ้คนที่นู้หรอก มันจะต่างกันตรงที่สภาพอากาศนั้นละ ที่นู้นเขาสามารถใส่ได้มากกว่าเขาจะใส่ 4-5 layer ก็ได้ ถ้าคนไทยไปแต่งตามมันก็ไม่ใช่ ด้วยสภาพอากาศบ้านเราคนเขาก็จะมองว่าเราเยอะไปไหม แต่ถ้าเราไปอยู่ที่นู้นเราสามารถแต่งได้เต็มที่ไง มันแตกต่างกันที่อากาศละ อยู่ที่ว่าเราจะแต่ยังไงให้มันเหมาะสม
หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตาว่าคุณโอ๊คเคยผ่านงานในวงการบันเทิงมาบ้างเหมือนกัน ช่วยเล่าให้เราฟังหน่อยมีโอกาสไปทำงานตรงนั้นได้ยังไง แล้วมีผลงานอะไรมาบ้างคะ
เราก็เริ่มมาจากตัวประกอบเลย Mv ของน้ำชา ผ่านฉากแว๊บแล้วหายไปเลย ฮ่าๆ จากตัวประกอบก็ได้เล่นบทรองจากการที่ผู้กำกับเขาเห็นคาแรกเตอร์เราก็เลยชวนเราไปเล่น ใน Mv masager – ปราโมทย์ นอกจากตัวประกอบเราก็ยังทำงาน event ด้วย เป็น Staff event จนวันหนึ่งมีคนจาก event ของ Rayban มาเห็นเราเขาบอกว่า look เราโอเคก็เลยได้ไปเดินของ Rayban หลังจากงานนี้ก็ทำให้ พี่แอ๊ะ ชาติฉกาจ เจอเรา พอดีกับตอนนั้นเขากำลังจะทำ MV ตัวหนึ่ง ต้องการพระเอก look เซอร์ๆ เราก็เลยมีโอกาสได้เล่นตัวนี้ Mv ขอบคุณเวลา-Sukhumvit66 จาก MV ตัวนี้ก็ทำให้เรามีคนรู้จักมากขึ้น นอกจากนั้นก็จะมีพวกโฆษณาต่างๆ ตามมา
ความฝันของคุณโอ๊คหรือสิ่งที่คุณโอ๊คอยากทำคืออะไรคะ
สิ่งแรกเลยที่ฝันคือ อยากจะเป็นคนไทยที่ได้ถ่ายภาพลงนิตยสาร Vogue ของที่นู้น เราคิดว่าเราต้องทำให้ได้ก่อนจะกลับมาไทย แล้วเราก็อยากเป็นผู้กำกับ กำกับพวก Mv อะไรแบบนี้อยากลองทำเองในสไตล์ของเรา อีกอย่างคืออยากเป็น Director magazine อยากทำ magazine เกี่ยวกับช่างภาพจริงๆ ให้ช่างภาพคนไทยได้มีโอกาสโชว์งานของตนเอง อารมณ์แบบส่งงานมาเลยทั่วประเทศถ้างานคุณเจ๋งจริงก็จะได้มีโอกาสลงนิตยสารของเรา เพราะเราเชื่อว่าคนไทยเก่ง ถ้าถ่ายภาพแสงไทยได้นี้เราว่าเก่งแล้วละ เพราะแสงที่ไทยนี้ถือว่าถ่ายค่อนข้างยากมาก
ตอนนี้คุณโอ๊คกำลังทำอะไรอยู่บ้างคะ จะมีผลงานอะไรให้เพื่อนๆ ได้ติดตามกันบ้าง
ตอนนี้เราก็มีร้านกาแฟกำลังจะเปิดใหม่ แถว ๆ ลาดพร้าวเป็นร้านที่ร่วมกันทำกับพี่ๆ ชื่อร้าน 1839 Cafe & Gallery ข้างบนจะเป็นสตูดิโอ เป็นร้านที่เกี่ยวกับภาพถ่ายด้วย ข้างในจะมีแกลลอรี่ มีกล้องเก่าหลายๆ รุ่นโชว์อยู่ ใครอยากลองมาเปลี่ยนบรรยากาศ มากินกาแฟ นัดคุยงาน ดิวงานกับลูกค้าลองแวะมาที่นี้ได้ ก็จะมีโอกาสได้เจอกันที่นั้น ส่วนผลงานก็จะมีโปรเจคถ่ายภาพก็จะมีตัวที่กำลังรอลงนิตยสารอยู่ตัวหนึ่ง รวมถึง ผลงาน กับนิตยาสาร อินดี Elegant Magazine December issue หนังสือหัวอินดี้ จาก USA แล้วก็จะมีผลงานเกี่ยวกับวงการบันเทิงเป็นแคมเปญของกางเกงยีนส์ แบรนด์ Selvedgework กับแคมเปญจิวเวลรี่อีกตัวหนึ่ง ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะครับ
อยากให้คุณโอ๊คฝากถึงคนที่มีความฝันและอบากจะทำตามความฝันแบบคุณโอ๊คหน่อยคะ
ถ้าคิดว่าตัวเองมีฝัน ให้ทำตามฝันนั้นเลย อย่ารีรอ! ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ถ้าหากเราพยายาม ตอนก่อนเราจะไปเรียนต่อที่อังกฤษยังท่อง วันจันทร์ – ศุกร์ ภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เขียนก็ผิด แต่เราก็กล้าตัดสินใจที่จะไป เพราะเราคิดว่าถ้ามันได้ลองทำมันก็จะทำได้เอง ถ้าคิดว่ามีเป้าหมายที่จะทำตรงนี้แล้วก็อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ลงมือทำไปเลยแล้วมันจะเป็นอย่างที่เราหวังในที่สุด
ฝากช่องทางการติดตามผลงานของคุณโอ๊คกับเพื่อนๆ ชาว Lookbook.th หน่อยคะ
Facebook : TheNapat Gunkham
Instagram : @thenapatphotographer
เข้าไปชมผลงานภาพถ่ายของเราได้ที่ : Napat Gunkham
Email : [email protected]